วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2

บันทึกการเรียนครั้งที่ 2
วันจันทร์ที่ 22 มกราคม 2561
เวลา 11.30 - 14.30 น.



นำเสนองานที่ได้รับมอบหมายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จำนวน 4 กลุ่ม



  • กลุ่มที่ 1 เรื่อง พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย




คุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย
กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์จำนวน 12 มาตรฐานประกอบด้วย
1. พัฒนาการด้านร่างกาย มี 2 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 1 ร่างกายเจริญเติบโตตามวัยและมีสุขนิสัยที่ดี
มาตรฐานที่ 2 กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็กแข็งแรงใช้ได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน
2. พัฒนาการด้านอารมณ์จิตใจ มี 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 3 มีสุขภาพจิตดีและมีความสุข
มาตรฐานที่ 4 ชื่นชมและแสดงออกทางศิลปะ ดนตรี และการเคลื่อนไหว
มาตรฐานที่ 5 มีคุณธรรม จริยธรรมและมีจิตใจที่ดีงาม
3. พัฒนาการด้านสังคม มี 3 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 6 มีทักษะชีวิตและปฏิบัติตนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
มาตรฐานที่ 7 รักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม วัฒนธรรมและความเป็นไทย
มาตรฐานที่ 8 อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุขและปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็น  ประมุข
4. พัฒนาการด้านสติปัญญา มี 4 มาตรฐานคือ
มาตรฐานที่ 9 ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย
มาตรฐานที่ 10 มีความสามารถในการคิดที่เป็นพื้นฐานในการเรียนรู้
มาตรฐานที่ 11 มีจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์
มาตรฐานที่ 12 มีเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้และมีความสามารถในการแสวงหาความรู้ได้เหมาะสมกับวัย 



สิ่งที่อาจารย์เพิ่มเติม 
มาตราฐาน คือ เกณฑ์ขั้นต่ำ
สภาพที่พึงประสงค์ คือ ความคาดหวังที่ต้องการให้เด็กทำได้ 
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546 กับ หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2560 แตกต่างกันอย่างไร? คือ 
มีการแยกรูปแบบของพัฒนาการเด็กชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ควรมีทฤษฎีพัฒนาการด้านต่างๆประกอบด้วย เช่น
ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของเพียเจต์ (Piaget)
               เพียเจต์ (Jean Piaget, 1969)  นักจิตวิทยาชาวสวิสที่เป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญในทฤษฎีพัฒนาการทางด้านสติปัญญา หนังสือและบทความทั้งหมดซึ่งเป็นผลงานของเขาเกี่ยวข้องกับความเจริญเติบโตและพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็ก ซึ่งทฤษฎีนี้เน้นถึงความสำคัญของความเป็นมนุษย์ อยู่ที่มนุษย์มีความสามารถในการสร้างความรู้ผ่านการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ซึ่งปรากฏอยู่ในตัวเด็กตั้งแต่แรกเกิด ความสามารถนี้คือการปรับตัว (Adaptation) เป็นกระบวนการที่เด็กสร้างโครงสร้างตามความคิด (Scheme) โดยการมีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับสิ่งแวดล้อม ลักษณะ คือ เด็กพยายามปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดบ้อม โดยซึมซับประสบการณ์ (Assimilation) และการปรับโครงสร้างสติปัญญา (Accommodation) ตามสภาพแวดล้อมเพื่อให้เกิดความสมดุลในโครงสร้างความคิด ความเข้าใจ (Equilibration) ทั้งนี้ เพียเจต์ได้แบ่งลำดับขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาไว้ ขั้นดังนี้
                1. ขั้นประสาทรับรู้และการเคลื่อนไหว (Sensorimotor Stage) พัฒนาการระยะนี้อยู่ในช่วง ปีแรกหลังเกิด ขั้นนี้เป็นขั้นของการเรียนรู้จากประสาทสัมผัส ในขั้นนี้พัฒนาการจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว มีการพัฒนาการเรียนรู้ การแก้ปัญหา มีการจัดระเบียบการกระทำ มีการคิดก่อนที่จะทำ การกระทำจะทำอย่างมีจุดมุ่งหมายด้วยความอยากรู้อยากเห็น และเด็กยังสามารถเลียนแบบ โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวแบบให้เห็นในขณะนั้นได้ ซึ่งแสดงถึงพัฒนาการด้านความจำที่เพิ่มมากขึ้นในช่วง 18-24 เดือน
                 2. ขั้นก่อนปฏิบัติการคิด (Preoperational Stage)   ขั้นนี้จะอยู่ในช่วง 2-7 ปี ในระยะ 2-4 ปี เด็กยังยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง มีขีดจำกัดในการรับรู้ สามารถเข้าใจได้เพียงมิติเดียว ในระยะ 5-6 ปี เด็กจะย่างเข้าสู่ขั้น Intuitive Thought ระยะนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการคิด ที่ขึ้นอยู่กับการรับรู้กับการคิดอย่างมีเหตุผลตามความจริง ซึ่งเด็กจะก้าวออกจากการรับรู้เพียงมิติเดียวไปสู่การรับรู้ได้ในหลาย ๆ มิติในเวลาเดียวกันมากขึ้น และจะก้าวไปสู่การคิดอย่างมีเหตุผล โดยไม่ยึดอยู่กับการรับรู้เท่านั้น เด็กจะเริ่มมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวดีขึ้น แต่ยังคิดและตัดสินผลของการกระทำต่าง ๆ จากสิ่งที่เห็นภายนอก
                  3. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรม (Concrete Operational Stage) ขั้นนี้ เริ่มจากอายุ 7-11 ปี เด็กจะมีความสามารถคิดเหตุผลและผลที่เกี่ยวข้องกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้น โดยไม่ยึดอยู่เฉพาะการรับรู้เหมือนขั้นก่อน ๆ ในขั้นนี้เด็กจะสามารถคิดย้อนกลับ (Reversibility) สามารถเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์ (Conservation) สามารถจัดกลุ่มหรือประเภทของสิ่งของ (Classification) และสามารถจัดเรียงลำดับของสิ่งต่าง ๆ (Seriation) ได้ เด็กในขั้นปฏิบัติการคิดด้วยรูปธรรมจะพัฒนาจากการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางไปสู่ความสามารถที่จะเข้าใจแนวคิดของสังคมรอบตัว และสามารถเข้าใจว่าผู้อื่นคิดอย่างไรมากขึ้น แม้ว่าการคิดของเด็กวัยนี้จะพัฒนาไปมากแต่การคิดของเด็กยังต้องอาศัยพื้นฐานของการสัมผัสหรือสิ่งที่เป็นรูปธรรม เด็กยังไม่สามารถคิดในสิ่งที่เป็นนามธรรมที่ซับซ้อนได้เหมือนผู้ใหญ่ อย่างไรก็ตาม ตอนปลายของขั้นนี้เด็กจะเริ่มเข้าใจสาเหตุของเหตุการณ์รอบตัวพร้อมจะแก้ปัญหา ไม่เพียงแต่สิ่งที่สัมผัสได้หรือเป็นรูปธรรมเท่านั้นแต่เด็กจะเริ่มสามารถแก้ปัญหา โดยอาศัยการตั้งสมมติฐานและอาศัยหลักของความสัมพันธ์ของปัญหานั้น ๆ บ้างแล้ว
                 4. ขั้นปฏิบัติการคิดด้วยนามธรรม (Formal Operational Stage) ตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงวัยผู้ใหญ่เป็นช่วงที่เด็กจะสามารถคิดไม่เพียงแต่ในสิ่งที่เห็นหรือได้ยินโดยตรงเหมือนระยะก่อน ๆ อีกต่อไป แต่จะสามารถจินตนาการเงื่อนไขของปัญหาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยพัฒนาสมมติฐานอย่างสมเหตุสมผลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งก็หมายถึงว่า ในระยะนี้เด็กจะมีความสามารถคิดหาเหตุผลเหมือนผู้ใหญ่นั่นเอง 




ทฤษฎีวุฒิภาวะของกีเซลล์ 
หลักพัฒนาการตามแนวคิด
        อาร์โนลด์ เกเซลล์ (Arnold Gesell 1880-1961) ใช้คำ ว่าวุฒิภาวะ (maturation) เพื่อหมายถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ (pattern) และรูปร่าง (shape) ของพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากยีนส์ (genes) หรือความพร้อมของกล้ามเนื้อและระบบประสาทจะปรากฏเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งเป็นไปตามโปรแกรมที่กำหนดไว้ล่วงหน้าทางพันธุกรรม ทักษะและพฤติกรรมที่คล้ายคลึงกันของเด็กแต่ละคนจะปรากฏในเวลาไล่เลี่ยกัน เกเซลล์ ใช้คำ ว่าวงจรของพฤติกรรม (cycles of behavior)เกเซลล์ และคณะ ศึกษาพัฒนาการของทารก เด็ก และวัยรุ่นอายุ แรกเกิด-16 ปี โดยการสังเกตพฤติกรรมด้วยตนเองจากภาพยนตร์ และการสัมภาษณ์บิดามารดา และจัดกลุ่มข้อมูลสำหรับเป็นข้อมูลพื้นฐานของบุคลิกภาพ (Personality profile) ได้ 10 ด้าน คือ
1. ลักษณะการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก 
2. สุขนิสัยส่วนบุคคล 
3. การแสดงออกของอารมณ์  
4. ความกลัว ความฝัน
5. ความเป็นตัวของตัวเอง การแสดงออกทางเพศ
6. ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล
7. การเล่นและการใช้เวลาว่าง
8. การเรียน
9.จริยธรรม
10. ปรัชญาชีวิต

 การนำไปใช้ในการเรียนรู้   
      กีเซลล์ (Gesell )กล่าวถึงทฤษฎีพัฒนาการทางร่างกายว่าการเจริญเติบโตของเด็กจะแสดงออก เป็นพฤติกรรมด้านต่าง ๆ สำ หรับพัฒนาการทางร่างกายนั้นหมายถึง การที่เด็กแสดงความสามารถในการจัดกระทำ กับวัสดุ เช่น การเล่น ลูกบอล การขีดเขียน เด็กต้องใช้ความสามารถของการใช้สายตาและกล้ามเนื้อมือ ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของระบบประสาทและการเคลื่อนไหวประกอบกัน ลักษณะพัฒนาการที่สำคัญของเด็กในระยะนี้ ก็คือ การเปลี่ยนแปลงทางด้านการเคลื่อนไหว การทำ งานของระบบประสาทกล้ามเนื้อ การพัฒนาความสามารถในการควบคุมร่างกาย การบังคับส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
โดย กีเซลล์ ได้ศึกษาความสามารถของเด็กตามแบบธรรมชาติ โดยสังเกตพฤติกรรมของเด็กตั้งแต่  แรกเกิดจนเติบโตเต็มที่ การสังเกตมีทั้งสังเกตด้วยตาและถ่ายภาพยนตร์เอาไว้ศึกษาโดยละเอียด   ภายหลังผลการศึกษา กีเซลล์ สรุปว่า ความสามารถของเด็กมีเป็นระยะและขั้นตอน แต่ละช่วงอายุมีความหมายและมีความสำคัญแก่ชีวิต เพราะเป็นรากฐานของบุคคลเมื่อเป็นผู้ใหญ่พฤติกรรมของบุคคลจะมีอิทธิพลมาจากสภาพความพร้อมทางร่างกาย ได้แก่ กล้ามเนื้อ ต่อมกระดูก และประสาทต่าง ๆ สิ่งแวดล้อมเป็นเพียงส่วนประกอบของการเปลี่ยนแปลง และกีเซลล์ได้แบ่งพัฒนาการเด็กออกเป็น 4 ด้าน ดังนี้
1. พฤติกรรมด้านการเคลื่อนไหว (gross motor development)
เป็นความสามารถของร่างกายที่ครอบคลุมถึงการบังคับอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายและความ สัมพันธ์ทางด้านการเคลื่อนไหวทั้งหมด

2. พฤติกรรมด้านการปรับตัว(fine motor or adaptive development)
 เป็นความสามารถในการประสานงานระหว่างระบบการเคลื่อนไหวกับระบบความรู้สึก เช่น การประสานงานระหว่างตากับมือ ซึ่งดูได้จากความสามารถในการใช้มือของเด็ก เช่น ในการตอบสนองต่อสิ่งที่เป็นลูกบาศก์ การสั่นกระดิ่ง การแกว่งกำไล ฯลฯ ฉะนั้น พฤติกรรมด้านการปรับตัวจึงสัมพันธ์กับพฤติกรรมทางด้านการเคลื่อนไหว

3. พฤติกรรมทางด้านภาษา(language development)
ประกอบด้วยวิธีสื่อสารทุกชนิด เช่น การแสดงออกทาง หน้าตา ท่าทาง การเคลื่อนไหวท่า ทางของร่างกาย ความสามารถในการเปล่งเสียง และภาษาพูดการเข้าใจในการสื่อสารกับผู้อื่น

4. พฤติกรรมทางด้านนิสัยส่วนตัวและสังคม (personal social development)
เป็นความสามารถในการปรับตัวของเด็ก ระหว่างบุคคลกับบุคคลและบุคคลกับกลุ่มภายใต้ภาวะแวดล้อมและสภาพความเป็นจริงนับเป็นการปรับตัวที่ต้องอาศัยการเจริญเติบโตของสมองและระบบการเคลื่อนไหวประกอบกัน ในส่วนที่เกี่ยวกับความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อเล็ก         กีเซลล์ พบว่า ก่อนที่คนเราจะทำ อะไรง่าย ๆเช่น หยิบอาหารใส่ปากได้นั้นมีการเรียนรู้หลายขั้นตอน ขั้นแรก ทารกจะใช้มือตะปบ ขั้นต่อมาจับของด้วยมือ 4 นิ้วติดกันกับฝ่ามือ โดยเริ่มใช้ฝ่ามือตอนใกล้ ๆ สันมือ ต่อมาจะเลื่อนไปใช้ใจกลางมือ ครั้นแล้วหัวแม่มือจึงค่อยเลื่อนมาช่วยจับ ขั้นสุดท้าย คือการหยิบของด้วยหัวแม่มือกับปลายนิ้วยิ่งไปกว่านั้น กีเซลล์และคนอื่นๆ ได้ตั้งข้อสังเกตว่าการควบคุมการปฏิบัติการแห่งกล้ามเนื้อของคนเรามีพัฒนาการเริ่มจากศีรษะจรดเท้า เรียกว่า Cephalo Caudal Sequence คือ หันศีรษะได้ก่อนชันคอ แล้วจึงควํ่า คืบ นั่ง คลาน ยืน เดิน และวิ่งตามลำ ดับการควบคุมปฏิบัติการกล้ามเนื้อ ยังมีพัฒนาการเริ่มจากใกล้ลำ ตัวก่อน เรียกว่า Proximodistal Sequence เช่น ที่แขนขา ทารกย่อมบังคับการเคลื่อนไหว แกว่งแขนขาได้ก่อนมือและเท้า เด็กใช้แขนคล่องก่อนมือและใช้มือคล่องก่อนนิ้ว ดังนั้น เด็กเล็ก ๆ เมื่อต้องการจับอะไรก็ผวาไปทั้งตัว ต่อมาจึงยื่นออกไปเฉพาะแขนแล้ว จึงใช้มือและนิ้วมือดังกล่าว ถ้าจะให้เด็กเล็ก ๆ เขียนหนังสือมักจะได้ตัวโต เพราะกล้ามเนื้อมือยังใช้ไม่คล่องแคล่ว ได้แต่วาดแขนออกไปกว้าง ๆ ต่อเมื่อการบังคับกล้ามเนื้อบรรลุวุฒิภาวะแล้วจึงสามารถเขียนตัวเล็ก ๆ ได้ เพราะสามารถบังคับกล้ามเนื้อมือและนิ้ว
จากแนวคิด ทฤษฎี ของนักการศึกษา กีเซลโรงเรียนพิจารณาเห็นว่าสอดคล้องกับหลักสูตรสถาน ศึกษาเพื่อมาประยุกต์ใช้แบบผสมผสานการจัดประสบการณ์เพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัย โรงเรียนอนุบาลสามเสนฯจากแนวคิด/ทฤษฎี/ กีเซล (Gesell)
-พัฒนาการของเด็กเป็นไปอย่างมีแบบแผนและเป็นขั้นตอน เด็กควรพัฒนาไปตามธรรม ชาติ ไม่ควรเร่งหรือบังคับ
- การเรียนรู้ของเด็กเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหว การใช้ภาษา การปรับตัวเข้ากับสังคมและบุคคลรอบข้าง

การนำมาประยุกต์ใช้
- โครงสร้างของทฤษฎีกีเซล ยึดพัฒนาการเด็ก คุณลักษณะที่พึงประสงค์ และประสบการณ์สำคัญ
- ไม่เร่งสอนสิ่งที่ยากเกินพัฒนาการตามวัยของเด็ก
- จัดกิจกรรมให้เด็กมีโอกาสเคลื่อนไหว กิจกรรมเดี่ยวและกิจกรรมกลุ่ม
- จัดกิจกรรมให้เด็กได้ฟัง ได้พูด ท่องคำคล้องจองร้องเพลง ฟังนิทาน

  • กลุ่มที่ 2 เรื่อง ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย





ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
คือ ความสนใจที่เด็กอยากเรียนรู้ เช่น การอ่าน การเขียน การเล่น

การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมเด็กปฐมวัย
กิจกรรมการเล่นเสรี มีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความสนใจในการอ่านและการเขียน เพราะเด็กมีโอกาสตัดสินใจด้วยตนเองว่าจะเลือกทำกิจกรรมในมุมใด ในแต่ละมุมจะมีวัสดุอุปกรณ์ที่ส่งเสริมภาษา เช่น  มุมบ้าน ครูอาจเขียนตัวหนังสือบนสิ่งของเครื่องใช้ในบ้าน
มุมบล็อก หาสิ่งของที่มีตัวหนังสือมาประกอบการเล่นบล็อกและสร้างเรื่องราว
มุมวิทยาศาสตร์ ครูอาจเขียนบัตรคำบอกชื่อสิ่งต่างๆไว้
มุมห้องสมุด จัดให้มีบรรยากาศสบายๆ มีมุมเขียนอยู่ใกล้ๆ
มุมคณิตศาสตร์จัดให้มีตัวเลข ตัวหนังสือที่ของเล่น เป็นต้น

การสอนเป็นหน่วยบูรณาการ เพื่อให้ประสบการณ์ที่มีความหมายกับเด็ก เพราะได้เห็นความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ เช่น การเจริญเติบโตของพืช ให้เด็กได้หาความรู้ เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพืช สังเกตการเจริญเติบโต เปรียบเทียบสิ่งต่างๆ

ความต้องการของเด็กปฐมวัย
ด้านร่างกาย
-กระโดด เต้น ออกกำลังกายแขน ขา
-การช่วยเหลือตนเอง เช่น การติดกระดุม ใส่รองเท้า ทานอาหาร เป็นต้น

ด้านอารมณ์
-ต้องการความรัก ความเอาใจใส่ ความใกล้ชิด
-ระบายอารมณ์อย่างอิสระ

ด้านสังคม
-แสดงออกอย่างสนุกสนาน
-ต้องการการยอมรับจากผู้ใหญ่
-การเล่นแบบคู่ขนาน

ด้านสติปัญญา
-ใช้ภาษาเป็นเครื่องมือ

ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัยมาจากพัฒนาการของเด็ก

  • กลุ่มที่ 3 เรื่อง การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย


ทฤษฎีของเพียเจย์(อธิบายไว้ด้านบน)

ทฤษฎีไวกอสกี้  (Vygotsky)

เด็กจะเกิดการเรียนรู้ พัฒนาสติปัญญาและทัศนคติเมื่อมีการปฏิสัมพันธ์และทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยที่การเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นภายในการทำงานของ  Zone of proximal development ซึ่งเป็นสภาวะที่เด็กต้องเผชิญกับปัญหาที่ท้าทาย  ไม่สามารถคิดแก้ปัญหาโดยลำพัง แต่ถ้าได้รับการช่วยเหลือแนะนำจากผู้ใหญ่หรือเพื่อนที่มีประสบการณ์  เด็กจะสามารถแก้ปัญหานั้นและจะเกิดการเรียนรู้ได้

บรูเนอร์(Bruner)
แบ่งขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาของเด็กปฐมวัยออกเป็น 3 ขั้น
1.ขั้นการเรียนรู้ด้วยการกระทำ (Enactive stage)
2.ขั้นการเรียนรู้ด้วยภาพและจินตนาการ (Inconic stage)
3.ขั้นการเรียนรู้ด้วยสัญลักษณ์ (Symbolic stage)



  • กลุ่มที่ 4 เรื่อง การสอนแบบโครงการ Project Approach






การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้ความสำคัญกับเด็ก  ส่งเสริมให้เด็กแสวงหาคำตอบจากการเรียนเรื่องใดเรื่องหนึ่งอย่างลุ่มลึกเพื่อสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง โดยที่เด็กหรือครูร่วมกันกำหนดเรื่อง
ที่ต้องการเรียนรู้ แล้วดำเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา  โดยครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกให้เด็กเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและจากแหล่งเรียนรู้

วิธีการจัดการเรียนการสอน
มี 3 ระยะ
ระยะที่ 1 เริ่มต้นโครงการ เด็กร่วมกันคิดเรื่องที่ตนสนใจ สอบถามถึงประสบการณ์เดิมของเด็ก คำถามที่หนูอยากรู้

ระยะที่ 2 รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่อยากรู้ หาวิธีหาคำตอบ(สอบถามเด็ก) เช่น ไปห้องสมุด ทัศนศึกษา วางแผนว่าใครจะทำหน้าที่อะไรในการนำเสนอ

ระยะที่ 3 สรุปโครงการ นำเสนอความรู้ต่างๆที่ได้รับ โดยเด็กแต่ละคนมีหน้าที่รับผิดชอบ

ประโยชน์ที่ได้รับ
-เด็กเห็นคุณค่าในตนเอง
-ประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนมี
-เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างมีความสุข
-การทำงานแบบมีแบบแผน
-สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง





  • Function - หน้าที่
  • Exact - แน่นอน
  • assimilation - การดูดซึม
  • accommodation - การปรับและจัดระบบ 
  • equilibration -การปรับสมดุล
  • Sensori - ประสาทสัมผัส
  • Intuitive - สัญชาตญาณ
  • Concrete - รูปธรรม
  • Formal - ทางการ (นามธรรม)
  • Absolute - แน่นอน
  • Differences - ความแตกต่าง
  • Project - โครงการ
  • Approach - การเข้าใกล้ วิธีการทำให้ถึงจุดหมาย


นำความรู้ที่ได้ไปใช้ในการจัดกิจกรรมให้กับเด็กเมื่อไปออกฝึกสอน เช่น เราจะจัดกิจกรรมอะไรให้กับเด็กต้องคำนึงถึงพัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็ก เพราะเด็กแต่ละช่างอายุมีพัฒนาการที่แตกต่างกันออกไป มีแนวทางการสอนแบบโครงการ


  • ประเมินตนเอง
ตั้งใจฟังสิ่งที่เพื่อนนำเสนอและสิ่งที่อาจารย์ชี้แนะเพิ่มเติม มีการจดบันทึก

  • ประเมินเพื่อน
เพื่อนกลุ่มที่นำเสนอ มีการเตรียมความพร้อมมาอย่างดี เพื่อนๆที่ฟังก็ตั้งใจฟังและมีการจดบันทึก

  • ประเมินอาจารย์
คอยให้คำปรึกษา ชี้แนะและอธิบายเพิ่มเติมจากสิ่งที่เพื่อนนำเสนอ พร้อมยกตัวอย่างทำให้เห็นภาพและเข้าใจได้ง่ายยิ่งขึ้น




วันอาทิตย์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 1

บันทึกการเรียนครั้งที่ 1
วันจันทร์ที่ 15 มกราคม 2561
เวลา 11.30-14.30 น.




  • อาจารย์อธิบายเกี่ยวกับรายวิชา EAED4215 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ทางการศึกษาปฐมวัย (Learning Experiences Management in Early Childhood)

จุดมุ่งหมายรายวิชา
  1. ทักษะด้านคุณธรรม จริยธรรม (ความซื่อสัตย์ สุจริต เสียสละ มีวินัย ตรงต่อเวลา)
  2. ทักษะด้านความรู้ (วิเคราะห์ทฤษฎี เทคนิค กิจกรรม ที่ใช้ในการสอนได้)
  3. ทักษะทางปัญญา  (สามารถคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ สืบค้นข้อมูล ตีความได้)
  4. ทักษะด้านความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ  (ใช้ภาษาไทยในการสื่อสาร การนำเสนอได้ถูกต้อง มีความรับผิดชอบต่อตนเอง)
  5. ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ  (สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพทั้งการพูด การเขียน ใช้เทคโนโลยีในการสืบค้น)
  6. ทักษะการจัดการเรียนรู้  (ออกแบบการจัดประสบการณ์ที่เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการของเด็ก)
  • การปฏิบัติตนในการมาเรียนและการปฏิบัติตนเมื่อไปออกฝึกสอน
  • แบ่งกลุ่ม 10 กลุ่ม จำนวนกลุ่มละ 3 คน เพื่อทำงานนำเสนอ ตามหัวข้อ ดังนี้


  1. พัฒนาการและคุณลักษณะตามวัยของเด็กปฐมวัย หลักสูตร 60
  2. การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัย
  3. ความสนใจและความต้องการของเด็กปฐมวัย
  4. รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบโครงการ
  5. รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบ Montessori
  6. รูปแบบการเรียนรู้นวัตกรรมการสอนแบบ Waldorf
  • การสงบเด็ก (เพลง/คำคล้องจอง)

ปลาหมึกหนวดยาว  ตัวขาวน่ารัก

เวลาหยุดพักชอบยักไหล่เล่น

ยักเช้า ยักเย็น ยักเล่นๆ

แล้วก็ยัก ยัก ยัก  ปลาหมึกผูกโบว์

..................................................................................................................................................

นิ้วชี้คนดีอยู่ไหน

 ชูให้คุณครูดูหน่อย 

แล้ววางบนปากน้อยๆ 

แล้วตั้งใจฟังคุณครูให้ดีๆ

..................................................................................................................................................


ปรบมือแปะๆ 

เรียกแพะเข้ามา
แพะไม่มา
เอามือปิดปากรูดซิป

..................................................................................................................................................

นั่งตัวตรงๆ

ตรงยังค่ะ

ตรงแล้วค่ะ

ตรงยังครับ

ตรงแล้วครับ

..................................................................................................................................................

กำมือซ้าย

กำมือขวา

ชูมือมา

วางตรงนี้แหล้ะ 

(ศีรษะ หัวไหล่ ปาก หู ตา เป็นต้น)

..................................................................................................................................................




One         หนึ่ง
ผึ้ง            Bee
Tea          น้ำชา
ม้า           House
กอด        Hug
รัก           Love
Verb       กริยา
ปลา        Fish
คิด          Think
Pink        ชมพู
งู              Snake
Leg        ขา
หมา       Dog
Frog       กบ
จบ         Finish
ครู         Teacher
เจอ        Meet
Beef      เนื้อ
เสือ       Tiger
Leader   ผู้นำ
Infinity  ไม่มีที่สิ้นสุด
Foot       เท้า
ข้าว        Rice
Night     กลางวัน
ตื่น         Wake up


มีแนวทางในการใช้ชีวิตการปฏิบัติตน ได้ฟังแนวทางการสอนในแต่ละโรงเรียน ทราบถึงวิธีการสงบเด็กจากอาจารย์และเพื่อนๆที่ร่วมกันแบ่งปันความรู้ความรู้


  • ประเมินตนเอง
ตั้งใจเรียน จดบันทึกเพิ่มเติมเรื่องที่อาจารย์สอน

  • ประเมินเพื่อน
มาเรียนตรงเวลา ตอบคำถามที่อาจารย์สอน

  • ประเมินอาจารย์
มีความเป็นกันเอง แนะนำการใช้ชีวิตและการปฏิบัติตัว






บันทึกการเรียนครั้งที่ 17

บันทึกการเรียนครั้งที่ 17 วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม 2561 เวลา 13.00-15.30 น. วันจันทร์ที่ 23 เมษายน 2561 เวลา 11.30-14.30 น. ...